เลือกประกัน...ให้ตรงกับเป้าหมายเรา
คงมีคนจำนวนไม่มากเท่าไหร่นักที่จะเดินเข้าไปในบริษัทประกันด้วยตัวเองแล้วบอกว่า “ฉันต้องการทำประกัน” เพราะส่วนใหญ่แล้วหลายท่านอาจจะได้ซื้อประกันตามคำแนะนำจากตัวแทน เพื่อนสนิทมิตรสหาย จากเสียงตามสายที่โทรเข้ามาชักชวน หรือจากการบอกต่อมา แต่เชื่อเถอะค่ะว่าไม่ว่าเหตุผลของการทำประกันจะเป็นแบบไหน ทุกคนล้วนต้องการที่จะได้รับความคุ้มครองในด้านนี้และต้องการได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการตัดสินใจทำประกันค่ะ
‘ประกันชีวิต’ ในปัจจุบันนี้นับว่ามีรูปแบบเยอะมากนะคะ ซึ่งเราก็ควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการเพื่อที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด แต่จะเป็นอย่างไรนั้นเรามาดูตัวอย่างกันนะคะ
ตัวอย่างแรก
อุ๊จังอายุ 30 ต้นๆ แต่งงานแล้วและมีบุตร 1 คน ทำอาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน อุ๊จังก็สำรวจถึงความต้องการและความจำเป็นก่อนว่า อุ๊จังต้องการอะไร ห่วงอะไร ซึ่งก็ได้คำตอบว่า ณ ขณะนี้อุ๊จังรู้สึกห่วงลูกชาย จึงตัดสินใจซื้อประกัน ‘แบบตลอดชีพ’ ไว้ ซึ่งแบบประกันตลอดชีพนี้มีจุดเด่นยังไง เรามาดูรายละเอียดกันค่ะ
- จะให้ความคุ้มครองชีวิตมากกว่าแบบออมทรัพย์
- อัตราเบี้ยประกันจะถูกกว่าแบบสะสมทรัพย์
- ผู้รับผลประโยชน์หรือคนที่เรารักจะได้รับเงินประกันก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต
- คนที่มีรายได้น้อยสามารถซื้อได้เพราะเบี้ยประกันไม่แพงนัก
- ได้ทุนประกันสูงกว่าแบบสะสมทรัพย์
จากรายละเอียดด้านบนพอเห็นภาพเพิ่มขึ้นไหมคะ แบบประกันตลอดชีพนี้ถือว่าจ่ายเบี้ยเท่าตามด แต่อนาคตได้ประโยชน์กลับคืนมาเท่าพญาช้างเชียวนะคะ ซึ่งถ้าเราห่วงใครมากๆ สักคนหนึ่ง แบบประกันนี้ก็จะตอบโจทย์ ทำให้เราสบายใจและมีความสุขมากขึ้นค่ะ
ตัวอย่างที่สอง
นางสาวราชาวดี ตอนนี้อายุ 40 ปี ทว่าเป็นสาวโสด ไม่ได้แต่งงาน ทำงานเป็นพนักงานบริษัท เกษียณตอนอายุ 60 ปี สนใจที่จะทำประกันชีวิตโดยเน้นเงินออม จึงตัดสินใจทำแบบประกันที่เหมาะสมกับตนเองคือ ‘แบบสะสมทรัพย์’ ที่ต้องส่งเบี้ยประมาณ 20 ปี ซึ่งแบบประกันสะสมทรัพย์นี้มีจุดเด่นคือ
- เน้นออมเงินมากกว่าคุ้มครองชีวิต
- มีระยะเวลากำหนดชัดเจนว่าจะได้เงินคืนเมื่อไหร่
- ได้เงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา
- คุ้มครองชีวิตตามระยะเวลาที่กำหนด
- อัตราเบี้ยประกันค่อนข้างสูงกว่าแบบอื่น
ตัวอย่างที่สาม
นายเขมชาติ แต่งงานแล้ว มีบุตร 2 คนซึ่งกำลังเรียนหนังสืออยู่ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว นายเขมชาติถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว กำลังจะยื่นกู้สินเชื่อธุรกิจในการสร้างโรงงานเป็นเงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งต้องชำระคืนภายในระยะเวลา 20 ปี สิ่งที่นายเขมชาติห่วงคือธุรกิจและลูกๆ และแบบประกันที่เหมาะสมกับนายเขมชาติคือการทำประกัน ‘แบบชั่วระยะเวลา’ ซึ่งประกันแบบชั่วระยะเวลานี้นี้มีจุดเด่นคือ
- จะเน้นคุ้มครองชีวิตอย่างเดียว โดยไม่มีเงินคืนเมื่อครบสัญญา
- ผู้รับผลประโยชน์จะได้ทุนประกันเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต
- ไม่สามารถกู้และเวนคืนได้
- เบี้ยประกันจะถูกกว่าแบบอื่น
- คุ้มครองตามระยะเวลาที่กำหนด
- เหมาะสำหรับคนมีภาระหนี้และเงินน้อย
นอกจากรูปแบบประกันที่ได้กล่าวไปแล้ว ประกันที่คุ้มครองถึงสุขภาพ โรคร้ายแรง อุบัติเหตุ และชดเชยรายได้ ก็ถือว่าสำคัญค่ะ แบบประกันนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และต้องการเงินส่วนนี้มาช่วยเรื่องการรักษาหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในอนาคต
ตัวอย่างเช่น
นางสาวเจนนี่ เป็นสาวโสด อาชีพค้าขาย พ่อและแม่มีประวัติเป็นโรคมะเร็ง สิ่งที่นางสาวเจนนี่กังวลคือ ค่ารักษาพยาบาลหากตัวเองเกิดเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต จึงเลือกทำประกันรูปแบบที่คุ้มครองสุขภาพเป็นต้นค่ะ
วันนี้เราก็ได้เห็นจุดเด่นของประกันแต่ละแบบไปแล้ว อุ๊จังอยากขอแนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด เพื่อจะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ค่ะ
แต่ถ้าหากยังมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจว่ารูปแบบประกันแบบไหนเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ทีมงาน DD-Wealth ยินดีให้คำแนะนำและสนับสนุนให้ท่านได้รับแต่สิ่งดีๆ ซึ่งจะช่วยสร้างคุณค่าและหลักประกันให้แก่ทุกท่านได้มีความมั่นคงในชีวิตค่ะ
AU, IC
DD-Wealth